15114 จำนวนผู้เข้าชม
โรคขอบใบแห้งข้าว
ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ เลิศสุชาตวนิช
ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน
โรคขอบใบแห้งข้าว (bacterial leaf blight of rice) เป็นโรคที่สำคัญโรคหนึ่งในข้าวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะพบการระบาดและเข้าทำลายมากในช่วงฤดูฝนทำให้ผลผลิตเสียหายเป็นอย่างมากโดยเฉพาะพื้นที่นาเขตชลประทานที่สามารถปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปี
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากแบคทีเรีย Xanthomonas oryzae pv. oryzae ข้าวที่เป็นโรคจะขับเชื้อแบคทีเรียออกมาทางช่องเปิดธรรมชาติหรือบาดแผลเป็นหยดของเชื้อแบคทีเรีย (bacterial ooze) แล้วแพร่กระจายไปกับนํ้า หรือลมฝน ถ้าต้นข้าวเกิดบาดแผล เช่น จากเข้าทำลายของหนอนห่อใบหรือแมลงศัตรูอื่นๆ จะทำให้การเข้าทําลายของเชื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้น แปลงข้าวที่ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนมากจะเป็นปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคระบาดได้รวดเร็วและรุนแรงยิ่งขึ้น รวมทั้งการทำนาหว่านที่ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวในอัตราสูง
ลักษณะอาการโรค
โรคนี้สามารถเกิดกับข้าวได้ตั้งแต่ระยะกล้า แตกกอ จนถึง ออกรวง แต่ส่วนมากจะพบในระยะแตกกอเป็นต้นไป อาการที่ใบเชื้อจะเข้าทำลายผ่านทางช่องเปิดบริเวณปลายใบข้าวหรือบาดแผลเข้าไปสู่ท่อน้ำท่อลำเลียงในใบ ต่อมาใบจะมีอาการเป็นแถบสีเหลืองลงมาตามความยาว แผลจะขยายไปตามความยาวของใบ และบางครั้งแผลขยายไปตามความกว้างของใบ ขอบแผลมีลักษณะเป็นขอบหยักสีเหลือง แผลนี้เมื่อนานขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีเทา และสุดท้ายจะใบแห้งตาย ที่แผลหรือปลายใบอาจมีหยดน้ำสีครีมหรือสีเหลืองลักษณะกลมๆ ขนาดเล็กเท่าหัวเข็มหมุด
แนวทางการป้องกันกำจัด
- ไม่ควรใช้เมล็ดพันธุ์จากแปลงที่มีการระบาดของโรคขอบใบแห้ง และเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นไม่ควรระบายน้ำจากแปลงที่เป็นโรคไปสู่แปลงอื่น
- ใช้พันธุ์ข้าวที่มีความต้านทานต่อโรค เช่น พันธุ์สุพรรณบุรี 60 สุพรรณบุรี 90 สุพรรณบุรี 1 สุพรรณบุรี 2 กข7 และ กข23
- ไม่ควรใส่ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนมากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะดินที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว เช่น ในแปลงที่เคยมีการปลูกเผือกก่อนการปลูกข้าวของเกษตรกรในภาคกลาง จะมีธาตุอาหารเหลืออยู่ในพื้นที่เป็นปริมาณมาก ในบางแปลงอาจไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมเลยเมื่อปลูกข้าว โดยเกษตรกรสามารถสังเกตความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ได้จากเทียบสีของใบข้าวกับแผ่นเทียบสี (leaf color chart: LCC) ของกรมการข้าว
- การปลูกข้าวแบบนาหว่านที่ใช้เมล็ดพันธุ์อัตรามากเกิน จะทำให้เกิดการระบาดของโรคได้รุนแรงมากกว่าการปลูกข้าวแบบนาดำ
- เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงเป็นประจำ ในการทำนาดำเกษตรกรมักตัดปลายใบต้นกล้าก่อนการปักดำ ซึ่งบาดแผลที่เกิดขึ้นจะช่องทางให้เชื้อโรคเข้าทำลายได้ ดังนั้นเกษตรกรควรระมัดระวังการติดเชื้อของข้าวในช่วงนี้ โดยในแปลงที่มีประวัติการระบาดของโรคขอบใบแห้ง อาจเปลี่ยนวิธีปลูกเป็นการโยนกล้าข้าวแทน
- ถ้าเกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคนี้ เช่น พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 กข6 เหนียวสันป่าตอง พิษณุโลก 2 ชัยนาท 1 โดยเมื่อเริ่มพบอาการ ให้ใช้สารป้องกันกำจัด เช่น สารประกอบทองแดง เช่น คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ (คอปเปอร์ ไฮ) ไตรเบซิคคอปเปอร์ซัลเฟต หรือ สารปฏิชีวนะ เช่น เสตร็พโตมัยซินซัลเฟต+ออกซีเตทตราไซคลิน ไฮโดรคลอร์ไรด์ แต่ห้ามใช้สารเหล่านี้อย่างต่อเนื่องเพราะจะทำให้เชื้อมีความต้านทานต่อสารประกอบทองแดงและสารปฏิชีวนะได้ ปัจจุบันมีสารที่ช่วยควบคุมโรคโดยไม่กระตุ้นให้เชื้อเกิดความต้านทาน เช่น สารแบคบิเคียว (bacbicure) ทั้งนี้ร่วมกับการควบคุมแมลงที่จะทำลายใบข้าวให้เสียหาย และการควบคุมระดับน้ำในแปลงให้เหมาะสมไม่ให้มีปริมาณมากเกินความจำเป็น
- เกษตรกรควรปฏิบัติตามแนวทางในการป้องกันโรคข้างต้นนี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อการควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพสูงสุด