119954 จำนวนผู้เข้าชม

โรคพืชเป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังไม่แพ้โรคภัยไข้เจ็บในคน พืชเศรษฐกิจที่สำคัญและราคาแพงอย่างทุเรียนก็เช่นกัน กว่าจะได้ผลสวยๆออกมาอย่างที่เราเห็นตามท้องตลาด ต้องใช้เวลาปลูกอย่างยากลำบากหลายปี ถ้าหากชะล่าใจไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจเสียทั้งผลผลิตทั้งต้นทุนไปได้มหาศาล
และต่อไปนี้ก็เป็นโรคพืชที่สำคัญในทุเรียน ที่เราได้เลือกแล้วว่าเกษตรกรควรรู้จักและทำความเข้าใจกับวิธีป้องกันมากเป็นพิเศษ เพราะทุกโรคมีสาเหตุมาจากเชื้อรา สังเกตเห็นไม่ได้ง่ายๆเหมือนแมลงศัตรูพืช อีกทั้งยังสามารถลุกลามได้ไวกว่าที่คิด
โรคพืชในทุเรียนที่เกิดมาจากเชื้อรา มีอะไรบ้าง?

1.โรคไฟทอปธอร่า
โรคพืชที่สร้างปัญหาให้กับเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเป็นอันดับ 1 สำหรับโรคไฟทอปธอร่านี้ มีสาเหตุมาจาก Phytophthora spp. โดยตัวเชื้อจะเริ่มแพร่เข้าสู่ทุเรียนได้ทั้งทางรากและโคนต้น จากนั้นจะเริ่มไปทางท่อลำเลียงน้ำ และลุกลามไปทั่วลำต้น
อาการของโรคแสดงออกมาได้หลายอย่าง เช่น รากเน่า โคนเน่า ใบเหลือง แห้ง และร่วง ทั้งหมดนี้สามารถทำความเสียหายได้ตั้งแต่ผลทุเรียนไม่สมบูรณ์ ไปจนถึงทุเรียนเสียหายทั้งต้นจนต้องโค่นทิ้ง แต่ประเด็นที่น่ากลัวจริงๆอยู่ตรงที่ว่า ถึงแม้จะโค่นทุเรียนต้นเดิมทิ้งไปแล้ว ถ้าหากมีการปลูกทุเรียนใหม่ในพื้นที่เดิม ตัวเชื้อก็อาจจะยังอยู่ได้ และทำลายทุเรียนต้นใหม่ไปได้เรื่อยๆไม่รู้จบ ถ้าหากเกษตรกรไม่ลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง

2. โรคแอนแทรคโนส
เกิดมาจากเชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides จะเข้าทำลายต้นทุเรียนในช่วงที่ช่อดอกเริ่มบาน ดังนั้นจะสังเกตเห็นได้โดยง่ายว่าดอกจะมีสีช้ำๆดำๆ และมีรอยราสีเทาๆด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้โรคยิ่งลุกลาม คือการที่เกษตรกรปลูกทุเรียนติดกันมากเกินไป และพุ่มกิ่งทุเรียนรกเกินไป ดังนั้นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ คือควรเว้นระยะห่างของทุเรียนแต่ละต้น อีกทั้งยังควรหมั่นตัดแต่งพุ่มกิ่งให้โปร่งๆ

3. โรคใบติด
เชื้อราที่เป็นต้นเหตุคือ Rhizoctonia solani อาการที่พบได้เบื้องต้นคือใบจะมีรอยจุดๆ ไหม้ๆ เริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วลุกลามได้ทั้งใบ และจะมีเส้นใยที่ดูเหมือนใยแมงมุมปกคลุมใบอยู่ด้วย
ในช่วงหน้าฝน โรคนี้จะยิ่งระบาดง่ายมากเป็นพิเศษ และเพียงแค่ใบที่มีอาการของโรคไปสัมผัสถูกใบอื่นที่ปรกติดี ก็สามารถทำให้ใบอื่นติดโรคไปด้วย และก็จะลุกลามไปได้(เกือบ)ทั้งต้น ดังนั้นถ้าเกษตรกรคนไหนปลูกทุเรียนแบบติดแน่นกันเกินไป ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มเปอร์เซ็นต์การลุกลามของโรค เพราะใบทุเรียนจะสีกันตลอดเวลา

4. โรคราสีชมพู
เกิดมาจากเชื้อราชื่อ Cortricium Salmonicolor อาการของโรคจะสังเกตได้ชัดที่กิ่ง คือกิ่งจะดูแห้งๆ มีจุดสีเหลืองๆขึ้นตะปุ่มตะป่ำและร่วงหล่นลงไปเป็นครั้งๆ นอกจากนี้จะมีเส้นใยเชื้อราเป็นขุยๆสีชมพูด้วย ถ้าปล่อยไว้นานๆกิ่งจะเริ่มแตก และแห้งตายได้
ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องตาไว สังเกตให้ดีว่ากิ่งไหนมีอาการของโรค ให้รีบตัดออกและนำไปเผาทิ้ง เพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจาย นอกจากนี้การตัดแต่งกิ่งทุเรียนให้อากาศถ่ายเทง่ายก็เป็นอีกหนทางที่ดี

5. โรคราแป้ง
เชื้อราที่เป็นตัวการคือ Oidium sp. โดยสามารถเข้าทำลายทุเรียนได้ตั้งแต่ช่วงดอกบานจนถึงช่วงเริ่มติดผล อาการที่พบคือ บริเวณดอกหรือผลจะมีผงเชื้อราสีขาวๆคล้ายแป้ง ทำให้ไปรบกวนการเจริญเติบโตของทุเรียน ผลออกมาไม่สวย รสชาติไม่ดี ไม่สามารถนำไปขายได้

6. โรคราดำ
สาเหตุคือเชื้อรา Polychaeton sp., Tripospermum sp. ส่วนที่จะเสียหายคือผล อาการที่พบคือผลจะมีรอยแผลสีดำๆประปราย ทำให้ผลทุเรียนราคาตกได้หรืออาจขายไม่ได้เลย เนื่องจากมีตำหนิ
โรคราดำมีพาหะนำโรคที่สำคัญคือเพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไก่แจ้

7. โรคผลเน่า
สาเหตุคือเชื้อราชื่อ Phytophthora palmivora ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับโรครากเน่าและโคนเน่า สามารถเข้าทำลายผลทุเรียนได้ทั้งช่วงอ่อนและช่วงแก่ อาการของโรคที่สังเกตได้คือ ผลทุเรียนจะมีรอยราขาวๆ ดูคล้ายผงแป้ง มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ เน่าไปถึงเนื้อได้ ทำให้ผลทุเรียนขายไม่ได้ราคา
ทันทีที่เกษตรกรสังเกตเห็นอาการของโรค อย่าเสียดาย ให้รีบนำผลที่เป็นโรคไปเผาทิ้งไม่อย่างนั้นแล้วทุเรียนลูกอื่นๆจะติดโรคไปด้วย และเพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรป้องกันและกำจัดรากเน่าโคนเน่าควบคู่กันไปด้วย
…และที่สำคัญ อย่าลืมเลือก “โทมาฮอค” ผลิตภัณฑ์กำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ตัวเด่นที่เราภูมิใจนำเสนอ
ทำไมต้องเป็นโทมาฮอค?
เพราะโทมาฮอคนั้นออกฤทธิ์นาน เป็นมิตรกับพืชไร่ สามารถจัดการได้แม้กระทั่งเชื้อราที่ดื้อยา และที่สำคัญคือไม่ได้ช่วยปกป้องแค่ทุเรียนเท่านั้น แต่ยังใช้กับพืชได้อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่ง องุ่น ผักต่างๆ เรียกได้ว่าครบจบในถุงเดียว
โทมาฮอคประกอบด้วยอะไร และออกฤทธิ์อย่างไร?
โทมาฮอคเป็นสารกลุ่ม Cinnamic Acid Amide ประกอบด้วย Dimethomorph 50% WG ออกฤทธิ์แบบดูดซึม ไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
โทมาฮอคใช้งานอย่างไร?
ด้วยจุดเด่นที่มาในรูปแบบเม็ด จึงทำให้ใช้งานง่าย เพียงแค่แบ่งไปประมาณ 10-20 กรัม นำไปละลายน้ำ 20 ลิตร ก็นำไปฉีดพ่นได้ทันที
ข้อควรระวังในการใช้โทมาฮอค
- สวมถุงมือและหน้ากากให้มิดชิดทุกครั้งเวลาใช้งาน ตั้งแต่ขั้นตอนการละลายน้ำไปจนถึงขั้นตอนการฉีดพ่น และห้ามถอดออกเด็ดขาดจนก่อนกว่าจะใช้งานเสร็จแล้ว
- หลังใช้ผลิตภัณฑ์เสร็จให้ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสมอ
- ห้ามทิ้งบรรจุภัณฑ์ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำได้
- ถ้าหากผลิตภัณฑ์สัมผัสถูกร่างกายและมีอาการผิดปรกติใดๆ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- ควรเก็บผลิตภัณฑ์ไว้ในที่มิดชิด ห่างจากเด็ก อาหาร และสัตว์เลี้ยง