411 จำนวนผู้เข้าชม

ลดปัญหาโรคดื้อยา เริ่มที่วิธีสลับกลุ่มสารให้ถูกต้อง
สารป้องกันกำจัดโรคพืชเป็นอีกวิธีการที่เกษตรกรนิยมใช้ในการจัดการโรคพืช ซึ่งสารป้องกันกำจัดโรคพืชนั้นมีมากมายหลายชนิดและมีการจัดแบ่งกลุ่มได้หลายวิธีการ การที่เราทราบกลุ่มของสารป้องกันกำจัดโรคพืชแต่ละชนิดจะช่วยจัดการป้องกันปัญหาเชื้อโรคพืชต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดโรคพืชได้ดี
กลุ่มของสารป้องกันกำจัดโรคพืช (Fungicide Class)
กลุ่มสารป้องกันกำจัดโรคพืชสามารถแบ่งตามคุณสมบัติต่างๆ เช่น โครงสร้างทางเคมี (chemical structure) คุณสมบัติการเคลื่อนย้ายในพืช(mobility) ตำแหน่งที่เข้าทำลาย (target site) หรือกลไกการออกฤทธิ์ (mode of action) เป็นต้น สารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีคุณสมบัติเหมือนกันจะจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน (fungide class หรือบางครั้งเรียก fungide family) ซึ่งพบว่าเชื้อสาเหตุโรคพืชที่มีความต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดโรคพืชในกลุ่มใดเชื้อโรคก็จะมีแนวโน้มที่จะต้านทานต่อสารอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
การจัดกลุ่มตามตำแหน่งที่เข้าทำลาย (target site) ของสารป้องกันกำจัดโรคพืช
สารป้องกันกำจัดโรคพืชแบ่งตามความจำเพาะต่อตำแหน่งที่เข้าทำลายได้เป็น 2 กลุ่มดังนี้
1.เข้าทำลายแบบเฉพาะจุด (site-specific fungiddes) สารมีคุณสมบัติออกฤทธิ์อย่างจำเพาะในตำแหน่งที่เข้าทำลายเชื้อ (target site) ซึ่งจะเจาะจงกระบวนการทางชีวเคมีที่สำคัญของเชื้อโรค เช่น ต่อโปรตีนที่เกี่ยวข้องในการสังเคราะห์ผนังเซลล์ การสังเคราะห์ RNA หรือการแบ่งเชลล์ เป็นต้น
2.เข้าทำลายแบบหลายตำแหน่ง (multi-site fungicides) สารมีคุณสมบัติออกฤทธิ์เข้าทำลายเชื้อหลายกลไกที่ตำแหน่งเป้าหมายหลายตำแหน่ง หรือรบกวนกวนกระบวนการทางชีวเคมีที่สำคัญของเชื้อโรคในหลายตำแหน่งพร้อมๆ กัน สารป้องกันกำจัดโรคพืชกลุ่มนี้รหัส Frac code นำหน้าด้วยอักษร M (ตารางที่ 1)
การต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดโรคพืชเกิดขึ้นเมื่อเชื้อโรคมีการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรม (genetic mutation) ที่ตำแหน่งเป้าหมายของสารเพื่อลดผลกระทบของสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุด (site-specific fungicides) แต่ในสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบหลายตำแหน่ง (multi-site fungicides) เชื้อโรคจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดความต้านทานที่ต่ำกว่า เพราะเชื้อโรคจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมที่ตำแหน่งเป้าหมายของสารหลายๆ จุดพร้อมๆ กัน ส่วนสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดความต้านทานของเชื้อโรค เพราะเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมเพียงแค่ตำแหน่งเดียว อาจทำให้เชื้อโรคเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการชีวเคมี เป็นผลให้เชื้อโรคมีความอ่อนแอลดลงหรือต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดได้
ถ้าเราทำการใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดอย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีความเสี่ยงที่เชื้อโรคพืชจะมีความต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนอาจทำไม่มีให้สารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมเชื้อสาเหตุโรค
แนวทางการลดความเสี่ยงเชื้อโรคต้านทานสารป้องกันกำจัดโรคพืช (Minimizing resistance)
ในการลดความเสี่ยงต่อปัญหาเชื้อโรคต้านทานสารป้องกันกำจัดโรคพืช ควรดำเนินการจัดการที่ครอบคลุมกลยุทธ์ในการควบคุมโรคพืชต่างๆ ซึ่งตัวอย่างกลยุทธ์ที่สำคัญในการจัดการโรคพืช ได้แก่
1.ปฏิบัติตามแนวทางด้านสุขภาพพืชที่ดี
เช่น การใช้พันธุ์ต้านทานโรค การปลูก การดูแลรักษาและการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม การทำความสะอาดฆ่าเชื้ออุปกรณ์ และลดการพึ่งพาการใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชเป็นหลัก จะช่วยลดความเสี่ยงของการใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มากเกินไปและปัญหาเชื้อโรคต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดโรคพืชได้
2.ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชตามอัตราแนะนำที่ระบุไว้ในฉลาก
สารป้องกันกำจัดโรคพืชที่จำหน่ายทางการค้าได้ทำการทดสอบอัตราใช้ที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด การลดอัตราการใช้ของสารจะส่งผลให้ควบคุมเชื้อโรคพืชไม่ได้ตามประสิทธิภาพ การจัดการโรคไม่ได้ผล และยังเพิ่มความเสี่ยงชื้อโรคพืชต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดโรคพืช
3.การใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชเท่าที่จำเป็นในแต่ละฤดูกาล
การใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดมากเกินไปจะทำให้เชื้อโรคมีความเสี่ยงที่จะต้านทานต่อสารมากขึ้น จึงควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อจะช่วยลดโอกาสการพัฒนาความต้านทานของเชื้อโรคให้น้อยลง
4.อย่าใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดเพียงชนิดเดียว
ควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชหลายชนิดที่มีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน เพราะไม่มีสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิดใดชนิดหนึ่งที่ดีที่สุด ซึ่งสารป้องกันกำจัดโรคพืชหลายชนิดมีประสิทธิภาพแตกต่างกันสำหรับโรคพืชชนิดต่างๆ สารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดหลายชนิดนั้นมีประสิทธิภาพที่ดี แต่ควรผสมด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชต่างกลุ่มกันหรือใช้สารสลับกลุ่มเพื่อลดความเสี่ยงของเชื้อโรคที่จะสร้างความต้านทาน
การผสมสารป้องกันกำจัดโรคพืชต่างกลุ่มและการสลับกลุ่มสารป้องกันกำจัดโรคพืช (tank-mixixing and rotating)
การผสมสารป้องกันกำจัดโรคพืชต่างกลุ่มและการสลับกลุ่มสารป้องกันกำจัดโรคพืชจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของเชื้อโรคที่จะสร้างความต้านทาน
เทคนิคแรก การผสมสารป้องกันกำจัดโรคพืชต่างกลุ่ม (tank-mixing) เป็นการผสมกลุ่มสารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีความเสี่ยงสูงกับกลุ่มสารที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า (ตารางที่ 1)
เทคนิคที่สอง การสลับกลุ่มสารที่มีกลไกการออกฤทธิ์ต่างกัน (rotating) เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดชนิดเดียวต่อเนื่องกัน
การผสมสารป้องกันกำจัดโรคพืชต่างกลุ่มและการสลับกลุ่มสารป้องกันกำจัดโรคพืชมีความสำคัญด้วยเหตุผลสองประการคือ 1) การปฏิบัติทั้งสองวิธีจะจำกัดระยะเวลาของเชื้อโรคไม่ให้สัมผัสกับสารใดสารหนึ่งอย่างต่อเนื่อง 2) สารป้องกันกำจัดโรคพืชอื่นที่นำมาผสมหรือสลับอาจช่วยลดประชากรของเชื้อโรคที่มีความต้านทานก่อนหน้าไม่ให้มีโอกาสที่จะขยายพันธุ์เพิ่มมากขึ้น
– การใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชรหัสกลุ่มต่างกัน (ตารางที่ 1) หมายถึงการใช้กลุ่มสารเคมีที่แตกต่างกัน ข้อควรสังเกต สารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีชื่อทางการค้าต่างกันอาจเป็นสารเคมีในกลุ่มเดียวกันได้ โดยให้สังเกตชื่อสามัญที่ฉลาก (ภาพที่ 1)
– ควรผสมสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบหลายตำแหน่งเสมอ
– ในการผสมสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบเฉพาะจุดร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคพืชแบบหลายตำแหน่งต้องดูคุณสมบัติหลังการผสมว่าเข้ากันได้หรือไม่ โดยดูจากผังการผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช (ภาพที่ 2) หรือทำการทดสอบ jar test เพื่อดูความเข้ากันได้ของสารที่จะนำมาผสมกัน



เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
-
จะเป็นอย่างไรเมื่อมีการใช้สารเคมีควบคุมเชื้อ ฟิวซาเรี่ยม สาเหตุโรคกิ่งแห้งในทุเรียน จะเอาอยู่หรือไม่
โรคกิ่งแห้งที่เกิดจากเชื้อ Fusarium sp. เชื้อจะทำให้เกิดอาการกิ่งแห้ง ทำกิ่งเปรา…
-
เฮียครับ เอา“ยาคุมไข่” ด้วยนะ
เกษตรกรหลายๆท่านคงเคยได้ใช้คำพูดนี้กับเวลาที่ไปซื้อสารกำจัดแมลงตามร้านจำหน่ายส…
-
โรคกาบใบแห้งของข้าว
โรคกาบใบแห้ง (sheath blight disease) เป็นโรคที่สำคัญโรคหนึ่งในข้าว โรคนี้จะระบาด…
-
โรคราสีชมพูในทุเรียน
โรคราสีชมพูเป็นโรคที่มีความสำคัญโรคหนึ่งในทุเรียนที่ทำความเสียหายให้กับทุเรียนได…